เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ส.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อย่าว่าแต่ใครเลยนะ แม้แต่เด็กๆ เวลามันกินอาหาร มันรู้จักแกะกล่องนะ สิ่งที่เป็นบรรจุภัณฑ์มันไม่ใช่ตัวอาหารนะ สิ่งที่เป็นบรรจุภัณฑ์ใช่ไหม? อย่างที่อาหารมันใส่มา มันต้องมีภาชนะของมันใส่มา ภาชนะที่ใส่มาเราก็รู้ เราจะกินภาชนะหรือ? อาหารที่ใส่มา ยกเข้ามาเขายกถ้วยแกงมา ยกข้าวมา เรากินทั้งจานไหม? เรากินแต่ข้าวใช่ไหม เราไม่กินจานหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ในหัวใจมันมีอาการของใจกับตัวใจ อาการของใจมันเป็นอย่างไร? อาการของใจ มันต้องรู้สิว่านี่เป็นภาชนะ แล้วถ้าคนภาวนาเป็น ดูสิเราไปซื้อของมันต้องมีบรรจุภัณฑ์มาทั้งนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นเราจะเอาอาหารมาได้อย่างไร? เอาอาหารมาไม่ได้หรอก แล้วปฏิบัติก็ว่าเข้านิพพานๆ มึงยังไม่รู้ว่าบรรจุภัณฑ์มันคืออะไรเลย เหมือนอาหารตามสั่งเลยนะ เข้าไปร้านสั่งอาหารเลย จะเอาอะไรก็ได้ นิพพานสั่งเอา นิพพานสั่งเอา

นิพพานสั่งเอาไม่ได้หรอก นิพพานมันจะทำได้นะมันเริ่มตั้งแต่ว่าเราก่อน เราทำอาหารของเรากันเอง เห็นไหม เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์เข้าไปร้องไห้ร้องห่มนะ เพราะพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว

“อานนท์ เราเอาแต่ของเราไปนะ ธรรมของแต่ละบุคคล ของใครก็ของคนนั้น”

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะนิพพานไปก่อนหน้านั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็เอาแต่ธรรมของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระธรรมของเรานะ “อานนท์ เราไม่ได้เอาของใครไปเลย นี่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นเข้าถึงธรรมได้ตลอด” สิ่งนี้มันมีอยู่แล้วนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปองค์เดียว นี่แล้วพระสารีบุตรก็ไปองค์เดียวเหมือนกันเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องทำของเราเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น เป็นคนบอก เหมือนเราเป็นพ่อเป็นแม่ เราให้การศึกษากับลูก เราให้อาชีพกับลูก ลูกมันต้องทำ ต้องยืนอยู่ของมันเองใช่ไหม? มันต้องยืนในสังคมของมันได้ มันต้องรู้ ต้องเข้าใจของมันเอง นี่ธรรมก็เป็นอย่างนั้น จะเข้าถึงนิพพาน เริ่มต้นตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันผ่านมาอย่างไร? มันผ่านมาอย่างไร?

ดูสิไข่อยู่ในจาน ไข่กับจานมันคนละอันนะ ไข่มันกินได้ ไข่มันเป็นการดำรงชีวิตได้ จานกินไม่ได้หรอก จานกับไข่ ร่างกายกับจิตใจมันปล่อยร่างกายมาอย่างไร? มันรู้สภาวะมาอย่างไร? สิ่งที่ไปรู้สภาวะ นี่ปล่อยมันเป็นชั้นเป็นตอนมาอย่างนี้มันปล่อยมาอย่างไร? นิมิตคืออะไร? ความเห็น นิมิตนี่อาการของใจ เห็นไหม นิมิตนี่ดูสิขณะที่ว่าเราเป็นอาการกัน ที่ว่าจิตเราจะเข้าสมาธิไม่ใช่นิมิตนะ

ถ้าคำว่านิมิตคือเครื่องหมายของจิต จิตมันเห็นนิมิตอะไร? นิมิตนี่เป็นอุคคหนิมิต คือเห็นนิมิตขึ้นมา นิมิตก็ยังปลอมอยู่ ปลอมนะ นิมิตนี่ของปลอมทั้งนั้น แต่จิตอาศัยเกาะเกี่ยวไง ดูสิดูอย่างน้ำ น้ำใสอยู่ในภาชนะ อยู่ในแก้วที่เต็มแก้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีน้ำหรือไม่มีน้ำเลย แต่เราใส่สีลงไป มันจะรู้เลยว่าสีนั้น น้ำนี่มีสี ใส่สีแดง สีเขียว สีอะไร น้ำมันจะเจือไปด้วยสีนั้น อาการของใจก็เหมือนกัน จิตที่มันแสดงอาการออกมา อาการที่สีมันออกมาอย่างไร?

นี่ภาชนะ บรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์นี่อาการของใจ อาการของใจไม่ใช่ตัวใจ เวลาจิตสงบเข้ามา จิตมันจะสงบเข้ามา เราต้องมีหลักมีเกณฑ์ของเราขึ้นมาก่อน เราตั้งสติของเราขึ้นมาก่อน คนที่จิตสงบขึ้นมามันก็ต่างแล้ว มันต่างคือว่าความสงบของใจ โอ้โฮ สุขขนาดนี้ สุขขนาดนี้นะ เราเคยมีอะไรประทับใจมาก มีความสุขมาก นี่ไม่ได้ครึ่งของสมาธิหรอก สมาธิมีความสุขมากกว่านั้นเยอะมาก เพราะอะไร? เพราะสุขอันนี้เกิดจากอามิส สุขอันนี้เกิดจากการจ้างไง การจ้างวาน

สุขจากการจ้างวาน สุขจากการเสพ สุขจากการใช้บริการ เราใช้บริการของเขามีความสุข กับสุขที่เกิดกับตัวเองมันต่างกันขนาดไหน? พิจารณาเอาสิ ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ จิตมันมีรากมีฐานเข้ามา นี่สัมมาสมาธิมันจะมีความสุขของมันมาก ความสุขอันนี้ นี่อันนี้ติดได้ ใครเข้าสมาธิ ว่าสมาธิเป็นนิพพานมากมายมหาศาลเลย คนที่ประพฤติปฏิบัติ นี่ว่าเราติดนิมิต ติดสมาธิ ติดทั้งนั้นแหละ มันติดเพราะอะไร? เพราะมันมีความสุข ถ้ามันไม่มีความสุขมันจะติดได้อย่างไร?

คนเราไม่เคยมีเงินเลย แล้วไปมีเงินนิดมีเงินหน่อยเราก็ว่าเราร่ำรวยแล้ว แต่คนมหาเศรษฐีนะ ดูสิเขามีเป็นหมื่นๆ ล้าน แสนๆ ล้าน เงินแทบจะเป็นเรื่องธรรมดาของเขาเลย เป็นเรื่องธรรมดานะ เขามีจนเป็นเรื่องปกติไง เรามีเล็กมีน้อย เราก็ว่าเงินนี่มหัศจรรย์ๆ นี่สุขเกิดจากอามิส สุขจากความประทับใจ สุขจากการเสพทางโลก สุขอย่างนี้ใครๆ ก็หาได้ ใครๆ ก็มีได้ แต่สุขจากสัมมาสมาธิมันเป็นเรื่องแปลกโลก แต่เวลาพูดกันเรื่องพื้นฐานของครัวเรือนไง

เวลาครัวเรือน เห็นไหม นี่อาหารตามสั่ง นิพพานสั่งเอา กับนิพพานประพฤติปฏิบัติเอา เราต้องมีครัวเรือนของเราก่อนนะ เราต้องมีเตาไฟนะ เราต้องหาพลังงานนะ หาถ่าน หาฟืนมาทำอาหาร เราต้องมีภาชนะทำอาหารนะ แล้วเราจะต้องหาวัตถุดิบมาทำอาหารนะ

นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติมันมีขั้นตอนของมันมหาศาลเลย ขั้นตอนการที่เราจะก้าวเดินไป สิ่งที่เราเดินไป เห็นไหม ดูสิเวลาจิตมันสงบขึ้นมา เริ่มตั้งแต่เรามีครัว เราหาครัว นี่ถ้าจิตสงบเข้ามาก็นี่เรามีเตาไฟ สิ่งที่เป็นอาหารมันจะสุกได้ที่เตาไฟนั้น จิตมันจะเข้านิพพานได้มันต้องมีที่ทำงานที่ตัวจิตนั้น ภวาสวะ ตัวภพนี่แหละ ตัวภพ ตัวที่ฐานของจิต ตัวที่ความคิด ความคิดออกมาจากจิต จรวดยิงออกไปจากฐาน ความคิดออกไปจากใจ ออกไปจากภวาสวะ แล้วมันก็ไปกว้านเอาความทุกข์มาเหยียบย่ำหัวใจ

นี่ความคิดต่างๆ มันเป็นขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่จิต อาการของจิต เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นบรรจุภัณฑ์ นี่สิ่งนี้ออกไปเอาเหยื่อด้วยนะ ออกไปเอาสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย เข้ามาเหยียบย่ำทำลายตัวเอง โดยตัวเองไม่รู้ตัวเลย นี่ว่าสิ่งนี้เป็นปัญญา สิ่งนี้เป็นปัญญา เรียนธรรมะมาก็ว่าสิ่งนี้เป็นปัญญา นกแก้วนกขุนทองท่องจำกัน นิพพานสั่งเอาทั้งนั้นเลย นิพพานสั่งเอา นิพพานนึกเอา นิพพานเป็นสัญญาเอา สมาธิก็เป็นสัญญาเอา ว่างๆ ว่างๆ มันเหมือนเด็กๆ ที่ไม่รู้จักอะไรเลย แล้วก็มาพูดเรื่องธรรมะกันไง

“มันจะเป็นอย่างไรครับ ว่างๆ อย่างนี้เป็นอย่างไรครับ” เหมือนเด็กๆ ที่ไม่เคยเห็นอะไรเลย แต่ท่องจำมาเป็นนกแก้ว นกขุนทอง แล้วก็มาว่านิพพานๆ กัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ คนที่จิตมันเข้าถึงโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี โอ้โฮ จิตมันมีสติ มันมีปัญญาของมันนะ มันไม่ถือมงคลตื่นข่าว เห็นแล้วเข้าใจไปหมดเลย นี่สิ่งที่เขาถือกัน โลกเขาเป็นไป ดูสิอย่างปัจจุบันนี้เขาถือของที่ว่าเป็นเครื่องรางของขลังกันไป มันเป็นเรื่องนอกๆ แล้วเขาก็ไปตามกัน เพราะมันไม่มีจุดยืน ชาวพุทธไม่เป็นพุทธมามกะ

พุทธมามกะคือถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครถือมงคลตื่นข่าวนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขาดจากเป็นพุทธมามกะ เห็นไหม นี่ขนาดเรื่องปลีกย่อย เรื่องไร้สาระอย่างนั้นยังไม่มีจุดยืนกันเลย แล้วนิพพานชั่วเอื้อมนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ในวงการประพฤติปฏิบัติจะเป็นอย่างนั้นไปหมดเลย นี่สุกเอาเผากิน ด้วยความสุกเอาเผากิน ด้วยความมักง่าย ด้วยความมักง่ายนะ นิพพาน กิเลสเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ้างอิง อ้างอิงในหัวใจนะ แล้วก็อยู่ในสังคมกันไป ยกย่องกันไป

นี่โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มียศไง มียศถาบรรดาศักดิ์ ยศถาบรรดาศักดิ์ด้วยอริยบุคคลไง สวมกันเป็นหัวโขน ว่าคนนั้นได้ขั้นตอนนั้น คนนี้ได้ขั้นตอนนี้ แต่ทำไมลังเลสงสัย โสดาบันนะ วิจิกิจฉานี่มันไม่มี โสดาบันจะไม่มีความสงสัยใดๆ เลย ธรรมะหลอกไม่ได้ ธรรมะเด็ดขาดเลย โสดาบัน เห็นไหม วิจิกิจฉาจะไม่มีในหัวใจเลย สีลัพพตปรามาส นี่ไม่ลูบคลำในศีล แล้วสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดในเรื่องของธรรมเป็นไปไม่ได้เลย มันจะเห็นความเป็นจริงเลย เพราะอะไร?

เพราะถ้าจิตมันสงบเข้ามา ถ้าอย่างที่ว่านี่จิตมันสงบเข้ามา แล้วถ้ามีอำนาจวาสนา ก่อนที่จิตมันจะเข้าถึงตัวจิตนี่นะ แต่ละบุคคลมันมีอาการต่างๆ กันไป ตกจากที่สูงก็ได้ มีอาการต่างๆ จะโยก จะคลอน จะไหวขนาดไหน ถ้าจิตมันสงบได้มันจะสงบของมัน ถ้าจิตสงบขึ้นมา อาการเข้านี่มันจะทำให้เราตื่นเต้นมาก เหมือนกับเราเปิดห้องของเรา เปิดบ้านของเรา บ้านของเรา ถ้าประตูมันอัดไว้แน่น อากาศอัดไว้แน่น แล้วอากาศข้างนอกกับข้างในมันต่างกันมาก เวลาเปิดมาจะมีแรงกระทบออกมามหาศาลเลย

จิตมันจะเข้าบ้านของตัวเอง มันจะเข้าสัมมาสมาธิ มันจะมีอาการของมัน เห็นไหม เหมือนกับอากาศข้างนอกกับอากาศข้างในมันต่างกันมาก เวลาเปิดนี่อาการกระทบมันจะรุนแรง จิตมันจะตกขนาดไหนเราต้องตั้งสติของเราไว้ เพราะอะไร? เพราะเหมือนกับนี่ ดูสิเวลาพายุมา เราต้องต้านพายุเข้าไป เราต้านพายุเข้าไป พายุจะแรงมาก เวลาจิตจะเข้าถึงตัวสัมมาสมาธิ มารมันจะผลักไส เราจะตั้งสติของเราอย่างไร? เราจะเข้าไปถึงตัวจิตของเราได้อย่างไร?

นั่นแหละเป็นความสงบเฉยๆ นะ นี่มันจะเข้าไปถึงตัวฐานของจิตไง ตัวฐานของตัวครัวไง ตัวเรือน ครัวไฟที่เราจะทำอาหารนั่นไง ถ้าเข้าไปถึงที่นั้น เราจะไปประกอบอาหารที่นั่นได้ เราจะไปทำวิปัสสนาที่นั่นได้ ถ้าเราทำวิปัสสนาที่นั่น เห็นไหม พอจิตมันสงบเข้ามา มันมีอาการต่างๆ เข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเห็นนิมิต อุคคหนิมิตมันยังหลอก หลอกเพราะอะไร? เพราะว่าเราเห็นแล้วมันเป็นอุคคหนิมิต คือว่ามันจะเป็นเรื่องราวต่างๆ กันไป ปล่อยหมดๆ รู้แล้วผ่าน รู้แล้วผ่าน รับรู้ไว้ ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ได้ มันมีของมัน

ถ้าคนที่ไม่มี สงบเฉยๆ เข้าไป เราเข้าบ้านไปแล้ว บ้านเราปกติสะอาดอยู่แล้วไม่ต้องทำสิ่งใดเลย เราเข้าไปในบ้านแล้วก็พักผ่อนสบาย จิตมันเข้าไปถึงสมาธิแล้ว ถ้ามันไม่มีสิ่งใดเลย มันจะไปสงบสุขของมัน ถ้าจิตของเราเข้าไปในบ้านของเราแล้ว ถ้ามีอะไรต้องเก็บรักษา เห็นไหม นี่มันจะเกิดนิมิต เกิดอะไรต่างๆ นิมิตอย่างนี้มันเก็บให้เป็นปกติไง เก็บให้เป็นปกตินะ ถ้าเราจับได้ เราตั้งได้ นี่วิภาคะคือเราจับได้ก่อน แล้วแยกส่วน ขยายส่วน

การแยกส่วน ขยายส่วนคือการทำอาหาร เห็นไหม การทำอาหารเราจะเอาอะไรทำอาหาร เราจะทำอาหารอะไร เราต้องการสิ่งใด นี่เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ในการวิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม ในการพิจารณาเวทนาก็เป็นอาหารอย่างหนึ่ง พิจารณากายเป็นอาหารอย่างหนึ่ง พิจารณาจิตก็เป็นอาหารอย่างหนึ่ง พิจารณาธรรมก็เป็นอาหารอย่างหนึ่ง อาหารแต่ละอย่าง การกระทำก็ต้องไม่เหมือนกัน เพราะอะไร? เพราะอาหารมันต่างชนิดกัน สิ่งที่ต่างชนิดกัน วิปัสสนาจะทำอย่างไร?

นี่ครูบาอาจารย์จะแยกแยะอย่างนี้ จะค่อยทำอย่างนี้ นี่มันเป็นวิธีการขึ้นมา แล้วมันต้องทำของตัวเองขึ้นมา เห็นไหม แล้วจะบอกว่ามันจะผ่านไปเฉยๆ โดยที่ไม่รับรู้อะไรเลย แล้วจะเข้านิพพานมันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ทำอะไรเลย เดินมาเฉยๆ ว่าเป็นนิพพานใครมันจะไปเชื่อ? ถ้ามันเชื่อนะ ดูสิเขาเรียนพระไตรปิฎก ท่องจำได้หมดเลย คอมพิวเตอร์นี่คีย์เข้าไปออกมาหมดเลย พระไตรปิฎกอะไรก็ได้ แล้วคอมพิวเตอร์มันรู้อะไร? คอมพิวเตอร์มันได้อะไร? มันไม่ได้อะไรเลย เพราะมันไม่ได้ชำระอะไรเลย เพราะมันไม่ทำอะไรของมันเลย การกระทำมันทำแล้วมันแยกแยะได้ แล้วจะไม่พูดอย่างนี้หรอก

คนทำงานเป็น คนทำงาน ดูนายช่างสิ ช่างนี่เขาหยิบเครื่องไม้เครื่องมือ เขาจะรู้เลยว่าช่างคนนี้ทำงานเป็นหรือไม่เป็น ถ้าคนทำงานเป็นเขาจะหยิบเครื่องมือของเขาถูกต้อง เขาใช้เครื่องมือของเขา งานหยาบ งานละเอียดเขาจะใช้ของเขาได้ประโยชน์ของเขา ไอ้ของเราใช้อะไรก็ไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่เป็น แล้วว่าเข้านิพพานๆ นี่แค่คำพูดมันก็ส่อถึงฐานะของจิต ถึงวุฒิภาวะว่าจริงหรือไม่จริง แค่คำพูดนี่นะ แค่จริงหรือไม่จริง ถ้าเป็นความจริงไม่เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนี้ สติสัมปชัญญะอย่างนี้มาก เพราะมันผ่านขั้นตอนมานะ

ดูสิเวลาเขาบอก เมื่อก่อนไม่เคยปฏิบัติเลย มีความโกรธมาก มีอารมณ์รุนแรงมาก เดี๋ยวนี้พอประพฤติปฏิบัติแล้วไม่มีความโกรธเลย

พูดไปอย่างนี้เขาก็เชื่อนะ หินทับหญ้าไว้เฉยๆ ความโกรธละไม่ได้ ความโกรธละได้ตั้งแต่ปฏิฆะ กามราคะ ปฏิฆะ กามราคะ เห็นไหม เพราะความโกรธเกิดจากตรงนั้น แล้วกว่ามันจะผ่านขั้นตอนเข้าไปถึงตรงนี้ มันผ่านเข้าไปกี่ขั้นตอน แล้วทำอะไร? ถ้าทำอย่างนั้นได้นะจะไม่มาพูดเพ้อเจ้ออย่างนี้เลย การพูดเพ้อเจ้ออย่างนี้มันเป็นการพูดเพ้อเจ้อโดยความเห็นผิด โดยกิเลสมันเพ้อเจ้อไป

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เพราะอะไร? การประพฤติปฏิบัติมาแต่ละบุคคลมันมีประเด็น มันมีวิธีการ ดูสิเราทำวิทยานิพนธ์ของแต่ละบุคคล ตามแต่ละสาขา แต่ละแขนง แล้วเรามาเปิดวิจัยกัน มันจะมีความมหัศจรรย์นะ นี่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาคุยกันในวงสนทนาธรรมของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้เป็นคติ เป็นตัวอย่างของกันและกัน ให้เป็นอุบายวิธีการที่อีกฝ่ายหนึ่งจะได้เก็บไปใช้เป็นประโยชน์ขึ้นมาได้ นี่การพูดอย่างนั้นต่างหากถึงเป็นประโยชน์ แล้วพูดเป็นครั้งเป็นคราว ไม่ใช่มาพูดกันอย่างนี้หรอก ไม่พูดว่านิพพานแค่เอื้อม จะเข้านิพพาน

คนพูดยังตาเหม่อลอยเลยนะ สติยังไม่มีเลยนะ แล้วมันจะเอาความรู้จากธรรมมาจากไหน? มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม นี่สิ่งต่างๆ อย่างนี้มันน่าสลดสังเวชไง สลดสังเวชในการประพฤติปฏิบัติ มันควรจะเป็นประโยชน์กับเราไง ไม่ใช่ประพฤติปฏิบัตินะมันไม่เป็นประโยชน์กับเรา ทำให้เราเสียเวลาเปล่านะ อย่างน้อยเสียเวลาเปล่า อย่างมากออกนอกลู่นอกทางไปเลย แล้วถ้าไปเรื่อยๆ ถ้านิมิตมันหลอกนะ หลอกไปอย่างนั้น หลอกไปอย่างนั้น ถึงที่สุดนะหลุด ถ้าหลุดออกไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่เพราะอะไรล่ะ?

เพราะในสัปปายะ ๔ อาจารย์เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะนี่หนึ่งนะ เป็นผู้ชี้นำ เข็มทิศ เข็มทิศถูกต้องไปถูกต้องหมด ถ้าเข็มทิศผิด ผิดหมด อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ หมู่คณะนี่ หมู่คณะมันจะไม่กระทบกระเทือนกัน แล้วสถานที่เป็นสัปปายะ การหาประพฤติปฏิบัติ แล้วนี่เราก็ประพฤติปฏิบัติกันมา ประพฤติปฏิบัติมา งมกันอยู่ไหน? งมในคูหาของใจ งมกันไม่เจอ งมกันไม่ได้ แล้วก็เป็นความเข้าใจผิดกันไป แล้วก็ออกนอกลู่นอกทางไป เลยกลายเป็นสัญญาไปหมด ธรรมะเป็นพิธีกรรม

นี่ศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีหมด ศาสนาเหมือนกันหมด เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย มันน่าสลดสังเวชมากเลย เพราะอะไร? เพราะศาสนาไหนเหมือนกันหมด ศาสนาไหนสอนให้เป็นคนดี นี่คนมีศีลธรรม จริยธรรม คนที่มีศาสนา คนนี้ก็คือคนดี แต่ศาสนานี่มันแก้กิเลสเว้ย ศาสนานี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมีศาสดาองค์ใดในลัทธิต่างๆ ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์? ไม่มีเลย มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว

แล้วครูบาอาจารย์เราสิ้นกิเลส ตักเอามาอย่างนี้ ...แล้วว่าศาสนาเหมือนกัน เหมือนกันได้อย่างไร? ถ้าเหมือนกันมันก็ไก่ได้พลอยไง ไอ้คนที่บอกศาสนาเหมือนกันๆ มันไก่ได้พลอย มันคาบแต่พลอย มันไม่รู้จักคุณค่าของพลอยไง มันถึงว่าศาสนาเหมือนกัน เหมือนกัน เหมือนกันทำไมไม่รู้ความจริงไม่เหมือนกันล่ะ? เหมือนกันต้องความจริงเหมือนกันสิ เข้าถึงเหมือนกัน แก้กิเลสเหมือนกัน ชำระกิเลสได้เหมือนกัน แล้วไม่เกิดได้เหมือนกัน เอวัง